Tuesday, May 30, 2006

King Majesty Of Thailand




















สมเด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซสท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ซึ่งภายหลังทั้งสองพระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเชษฐาภคินีและพระเชษฐา ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟัากัลยาณิวัฒนา ประสูติเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ ณ เมือง ไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๑ ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนกซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา กลับประเทศไทย ประทับ ณ วังสระประทุม
ต่อมาในวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกทิวงคต ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุได้ไม่ถึงสองพรรษา และเมื่อพระชนมายุได้ ๕ พรรษา ได้เสด็จเข้ารับการศึกษาชั้นต้น ณ โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพฯ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๗๖ จึงได้เสด็จไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี พระเชษฐาภคินี และพระเชษฐา ขณะประทับอยู่ ณ ประเทศวิตเซอร์แลนด์ ทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนเมียร์มองต์ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ จากนั้นทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออีส โรมองต์ เมืองแซลลี ซือ โลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จาก ยิมนาส กลาซีค กังโตนาล แห่งเมืองโลซานน์ แล้วทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเลือกศึกษาในแขนงวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ในเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับสถาปนาฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ภายหลังสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลทรงได้รับสถาปนาขึ้นครองราชสมบัติสืบสันติวงศ์ โดยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่ยังทรงพระเยาว์และประทับทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โดยเสด็จพระบรมเชษฐาธิราช พร้อมด้วยสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา และสมเด็จพระราชชนนี นิวัติสู่ประเทศไทยสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๘๑ เป็นเวลา ๒ เดือน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มิได้เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยเป็นเวลานาน จนกระทั่งสงครามสงบจึงได้เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘การนิวัติสู่พระนครในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โดยเสด็จพระบรมเชษฐาธิราชทรงเยี่ยมเยียนราษฎรยังหัวเมืองต่าง ๆ ทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ยังความปลาบปลื้มและเพิ่มความจงรักภักดีเป็นล้นพ้น
นอกจากนั้นยังได้โดยเสด็จพระบรมเชษฐาธิราชประพาส “สำเพ็ง” ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของชาวจีนในประเทศไทย ยังความปลาบปลื้มแก่ชาวจีนเป็นยิ่งนัก ความขุ่นข้องหมองใจระหว่างชาวไทยและคนจีนในประเทศไทย ในตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงได้คลี่คลายไปในทางที่ดี
ต่อจากนั้น สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชได้ทรงกำหนดที่จะเสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เพื่อทรงศึกษาต่อให้จบหลักสูตร แต่แล้วในวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงประสบอุบัติเหตุ สวรรคตท่ามกลางความวิปโยคของพสกนิกรชาวไทยทั่วทั้งประเทศเมื่อเหตุการณ์ปรากฏดังนี้ รัฐสภาจึงได้ประชุมแถลงลำดับการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งอันดับแรกได้แก่ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ดังนั้น ในวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ ในพระบรมราชจักรีวงศ์
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยต้องทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายและรัฐศาสตร์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์
ระหว่างประทับศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาในพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และหม่อมหลวงบัว สนิทวงศ์ กิติยากร ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาหลังเสด็จนิวัติสู่พระนครพร้อมด้วย ม .ว. สิริกิติ์ กิติยากร จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระประทุม เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓
วันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงรับเฉลิมพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงเปล่งปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
หลังจากนั้น ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี จากสมเด็จพระราชอนุชาสู่ตำแหน่งพระประมุขแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงละทิ้งความสุขสำราญส่วนพระองค์มาทรงรับพระราชภารกิจอันหนักหน่วง นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ซึ่งกาลเวลาได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แก่พสกนิกรว่า พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์
หลังจากเสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงรักษาสุขภาพ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตามที่คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำ และระหว่างนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ทรงมีพระประสูติกาลพระราชธิดาพระองค์แรก คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๔ หลังจากนั้น ๗ เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จนิวัติพระนคร ซึ่งต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ทรงมีประสูติกาลพระราชโอรสและพระราชธิดาอีกสามพระองค์ คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงอุทิศพระองค์ประกอบพระราชกรณียกิจในทุกด้านที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สุขและความเจริญรุ่งเรืองของราษฎรและประเทศชาติ พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติจึงครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาค การเสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็นสภาพความเป็นจริงและทรงตระหนักถึงปัญหาอันแท้จริงของราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ทรงมุ่งมั่นพัฒนาแหล่งน้ำเป็นอันดับแรก เพราะน้ำเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาและการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ ตลอดจนสามารถบรรเทาอุทกภัยได้ และที่สำคัญก็คือ เป็นทรัพยากรที่สามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้โดยง่าย จึงได้มีพระราชดำริให้ดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ที่จำเป็นทั่วประเทศ อ่างเก็บน้ำดังกล่าวทุกแห่งจะเป็นแหล่งขยายพันธุ์ปลาและกุ้งน้ำจืดซึ่งเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญอย่างยิ่ง การเร่งรัดพัฒนาพื้นที่ไร้ประโยชน์ให้สามารถเปิดเป็นที่ทำกินได้นั้น ก็เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาเกษตรกรขาดแคลนที่ดินทำกิน และยังช่วยชะลอการบุกรุกทำลายบริเวณป่าไม้ที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ช่วยฟื้นฟูที่ดินที่ถูกทำลายให้กลับมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อีก ปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูคุณภาพดินส่วนหนึ่งก็คือน้ำนั่นเอง เมื่อมีระบบชลประทานที่สมบูรณ์แบบ ก็จะสามารถเปิดขยายที่ทำกินออกไปได้อีก
ปัจจุบันป่าไม้ในประเทศไทยถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว พื้นที่ป่าอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม นับว่าอยู่ในระยะอันตรายหากไม่รีบแก้ไข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีในปัญหานี้ จึงทรงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาป่าไม้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เช่นในอดีต ดังแนวพระราชดำรัสความว่าแต่ป่าไม้ที่ปลูกนั้น สมควรที่จะปลูกแบบป่าสำหรับใช้ไม้หนึ่ง ป่าสำหรับใช้ผลหนึ่ง ป่าสำหรับใช้เป็นฟืนอย่างหนึ่ง แต่ไม้เช่นนี้จะเป็นสวนผลไม้ก็ตามหรือเป็นสวนไม้ฟืนก็ตาม นั่นแหละเป็น ป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่าคือเป็นต้นไม้ และทำหน้าที่เป็นทรัพยากรในด้านสำหรับเป็นผลที่มาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้
ความสนพระราชหฤทัยในเรื่องการสร้างเขื่อนและการปลูกป่าได้ปรากฎให้เห็นตั้งแต่ยังทรงพระยาว์ แต่ก่อนนั้นชาวไทยภูเขายังมีวิถีการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม มีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพซึ่งเป็นการผลิตเพื่อบริโภคในชุมชนของตน ขาดความรู้ในการบำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ จึงใช้วิธีการถากถางป่า และเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรอันล้ำค่าของชีวิตไปโดยไม่คุ้มค่า นอกจากนี้ชาวเขาบางพวกยังทำมาหากินด้วยการปลูกฝิ่น ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในป่าลึก บนยอดดอยที่สลับซับซ้อน ยากแก่การควบคุม และเป็นการยากมากที่จะให้ชาวเขาเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตอันเก่าแก่ของตน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบดีว่า ถ้าไม่พยายามหยุดยั้งปัญหาเกี่ยวกับชาวเขาแล้ว ปัญหาจะทวีความซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น พระองค์จึงได้ทรงรวบรวมผู้มีความรู้ความสามารถในแขนงต่าง ๆ มาร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาจึงได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ปัจจุบันนี้โครงการหลวงได้ร่วมมือกับองค์กรของรัฐ เอกชน และองค์กรต่างประเทศ การดำเนินงานครอบคลุมหมู่บ้านชาวเขา ๑๒๖ แห่ง ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และลำพูน เป็นระบบการพัฒนาแบบครบวงจร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับการค้นคว้าวิจัย และทรงเชื่อมต่อข้อสรุปทางวิชาการกับการปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ งานวิจัยทั้งหมดมุ่งที่จะค้นหาพืชที่ปลูกง่าย มีราคา และเป็นที่ต้องการของตลาดมาทดแทนการปลูกฝิ่น
ปัจจุบันมีการวิจัยพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ กว่า ๕๐ ชนิด ทั้งไม้ผล ไม้ดอก ธัญพืชเมืองหนาวชนิดต่าง ๆ กาแฟ เห็ด พืชน้ำมัน ฯลฯ พืชพันธุ์ไม้เมืองหนาวเหล่านี้ขยายจากแปลงทดลองสาธิตไปสู่ไร่ของชาวเขาอย่างแพร่หลาย บัดนี้ ด้วยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชาวเขาได้เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมลงแล้ว พวกเขามีพืชพันธุ์ใหม่ มีเทคโนโลยีใหม่ในการเพาะปลูก มีบ้านเรือนถาวรตั้งอยู่เป็นหลักแหล่ง มีการสื่อสารสมาคมกับคนพื้นราบอย่างกว้างขวาง มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ชาวเขาเริ่มเป็นที่คุ้นเคยของชาวพื้นราบ และค่อย ๆ กลายสภาพเป็นชุมชนคนไทย เกิดความสำนึกในความเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ ที่สำคัญยิ่งคือ พวกเขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในชะตาชีวิตอีกต่อไป
ด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกร พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายเสด็จทั่วผืนแผ่นดินไทย เพื่อทรงศึกษาปัญหาและพระราชทานพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาด้วยพระปรีชาญาณอันล้ำลึก พระองค์ทรงทำให้ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าตระหนักถึงมรดกอันล้ำค่าซึ่งฝังอยู่ในแผ่นดินไทยทุกตารางนิ้ว หากทุกคนรู้จักคุณค่าและมีสำนึกหวงแหนใน “ แผ่นดินของเรา ”
ยามใดที่มีการสู้รบสูญเสียเลือดเนื้อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินยังพื้นที่การรบ เพื่อทรงตรวจสถานการณ์และทรงเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บ พระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของเหล่าทหารหาญ น้ำพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านเป็นกำลังให้สู้ต่อไปโดยไม่ถอยเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภพที่ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นทุกศาสนา ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างแท้จริง ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากความแตกต่างกันในลัทธิศาสนาจึงไม่เคยอุบัติขึ้นในผืนแผ่นดินไทย
ในด้านการศึกษาของราษฎรนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญทั้งการศึกษาในระบบโรงเรียนและการศึกษานอกระบบโรงเรียน ดังพระบรมราโชวาทความว่า การศึกษาเล่าเรียนเป็นเรื่องที่ไม่มีสิ้นสุด ผู้ปรารถนาความเจริญในการประกอบกิจการงานจะต้องหมั่นเอาใจใส่แสวงหาความรู้ให้เพิ่มพูนอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะกลายเป็นผู้ที่ล้าสมัยหย่อนสมรรถภาพไป ดังนั้น ในการพัฒนาชนบท พระองค์จึงทรงเน้นในเรื่องการส่งเสริมความรู้ให้แก่ชาวบ้าน ทรงเห็นว่าชาวชนบทจะต้องมีความรู้ในเรื่องการทำมาหากินและการทำการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ส่วนการศึกษาของเยาวชน ทรงตระหนักว่าเป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ พระองค์ได้พระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงแก่นักเรียนที่สำเร็จระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่เรียนดีเพื่อไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ โดยมีพระราชประสงค์ให้ผู้ได้รับทุนได้รับการอบรมให้รู้และเข้าใจขนบประเพณีของชาวตะวันตกไปด้วย เพราะอายุยังอยู่ในวัยที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมตะวันตกได้
สำหรับนักศึกษาที่เล่าเรียนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งทุน "ภูมิพล" ขึ้น เพื่อพระราชทานแก่ผู้ที่มีผลการเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รับทุนอุดหนุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก โดยที่ทรงตระหนักถึงความวิริยะอุตสาหะของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ พระองค์จึงได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่บัณฑิตเหล่านั้น ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานปริญญาบัตรและพระบรมราโชวาทที่ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตในสังคมแก่บัณฑิตจากทุกมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเกียรติ เป็นสิริมงคล และกำลังใจอันสูงยิ่งแก่บัณฑิตผู้ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร แม้จะเป็นพระราชภาระที่หนักและน่าเหน็ดเหนื่อย แต่พระองค์ก็ได้พระราชทานเกียรตินี้แก่บัณฑิตทุกคน
ในด้านการกีฬานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันเรือใบ และทรงมีพระปรีชาในการทรงต่อเรือด้วยพระองค์เอง ลำแรกได้พระราชทานชื่อว่า “ราชปะแตนท์” ซึ่งทรงชนะรางวัลที่ ๑ ในการแข่งขันหลายครั้ง ที่ประทับใจชาวไทยมิรู้ลืม คือ การทรงแข่งขันเรือใบประเภทโอเค พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ฯ ในกีฬาแหลมทองครั้งที่ ๔ ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ในครั้งนั้นทรงชนะเลิศนำเหรียญทองให้แก่ประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดศิลปการวาดภาพและการถ่ายภาพ ดังปรากฏภาพฝีพระหัตถ์จำนวนมาก ซึ่งเป็นที่ยอมรับในบรรดาศิลปินและประชาชนทั่วไปว่า ทรงมีพระอัจฉริยะในทางศิลป ในระดับสากล พระราชนิยมในศิลป และดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรชาวไทยและกระจายไปถึงชาวต่างประเทศด้วย ทรงศึกษาดนตรีและทรงได้รับการฝึกหัดดนตรีตามแบบฉบับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ผนวกกับพระอัจฉริยภาพทางศิลป จึงมีผลให้ทรงมีพระปรีชาในการพระราชนิพนธ์เพลงและทรงบรรเลงเครื่องดนตรีได้เกือบทุกชนิด ทรงโปรดดนตรีแบบแจ๊ส และทรงชำนาญเครื่องเป่าต่าง ๆ จนได้รับการถวายการยกย่องว่าทรงเป่าโซปราโนแซกโซโฟนได้ดีที่สุดในประเทศไทย
ในการสร้างสรรค์ทางดนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้มีการตั้งวงดนตรีขึ้น ในระยะแรกทรงตั้งวง“ลายคราม” ต่อมาทรงตั้งวง “อ.ส. วันศุกร์”และทรงสร้างวงแตรวง “สหายพัฒนา” โดยรวมขึ้นจากผู้ปฏิบัติราชการใกล้ชิด นอกจากนี้ ทรงสนับสนุนการดนตรีของนิสิตนักศึกษาทุกระดับ เมื่อมีพระราชวโรกาสก็จะเสด็จไปทรงดนตรีตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เป็นการส่วนพระองค์ ทำให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสเฝ้าชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์และทรงมีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลงไว้มากถึง ๔๓ เพลง ทั้งเพลงขับร้องและเพลงประกอบการแสดง ทุกเพลงมีความไพเราะเป็นที่ซาบซึ้งประทับใจของพสกนิกรชาวไทยรวมถึงชาวต่างประเทศด้วย ดังเห็นได้จากการที่วงดนตรีและคณะละครชั้นนำของต่างประเทศได้อัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ไปบรรเลงในโอกาสต่าง ๆ และสถาบันการดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนาได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาสมาชิกกิตติมศักดิ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๗ โดยที่ทรงเป็นชาวเอเชียเพียงพระองค์เดียวที่ทรงได้รับการถวายพระเกียรตินี้

Monday, May 22, 2006

$GOOD BRAIN$



1. ออกกำลังกาย

มีคำยืนยันจากศูนย์สุภาพของมหาวิทยาลัยดยุค ในรัฐแคโรไลน่าว่า แค่ออกกำลังกาย ครั้งละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ทำงานได้ดีขึ้นแล้ว เพราะเวลาออกกำลังกาย ระบบหมุนเวียนโลหิตจะดี แล้วทำให้สมองส่วนหน้าที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องของการวางแผน การจัดการหรือการคิดอย่างเป็นระบบตื่นตัวขึ้น

2. เคี้ยวหมากฝรั่ง

มีการศึกษาจากญี่ปุ่นบอกมาว่า สมองส่วนความจำที่เรียกว่าฮิพโพแคมปัสจะทำงานได้ดีขึ้นเวลาที่เราเคี้ยว! แต่ไม่อยากอ้วน เคี้ยวหมากฝรั่งหลอกสมองไปหน่อยก็ได้

3. ฟังเพลงคลาสสิก

ไม่ว่าจะเป็นของบาสค์ บีโธเฟน หรือโมซารท์ เปิดฟังก่อนนอน จะช่วยปรับคลื่นความคิดของเราให้เป็นปกติ

4. กินอาหารเช้า

ไม่ใช่แค่ร่างกายเราเท่านั้นที่ขาดอาหารมาทั้งคืน สมองของเราก็เป็นด้วยเหมือนกัน ไม่อยากให้สมองเฉื่อยชาตลอดเวลา ต้องกินอาหารเช้าให้เป็นนิสัย รับรองวันนั้นทั้งวัน ปัญหาอะไรก็คิดออก

5. อ่านหนังสือ ดูหนัง

มุมมองของชีวิตบางอย่างที่เราไม่เคยคิด อาจจะมีคนอื่นเห็นมากกว่าเรา ศึกษาโลกให้กว้าง มองทุกอย่างให้ไกลจากหนังสือที่เขาเขียน หนังที่เขาทำ ความคิดดีดี ใหม่ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง

6. วาดรูป

แค่วาดรูปประกอบลงไปเวลาที่จดบันทึกหรือคำอธิบายต่าง ๆ เพราะรูปภาพจะช่วยให้เราจำรายละเอียดได้ง่ายขึ้น และเวลาที่เราวาด เราต้องมอง แล้วแปลทุกอย่างออกมาเป็นภาพวาด เป็นการใส่ความจำเข้าไปในสมองครั้งหนึ่งแล้ว

7. คุยกับคนอื่นๆ เปิดความคิดให้กว้าง

รับฟังความคิดใหม่ๆ จากคนอื่นๆ สามารถให้แนวคิดที่ดีกับเราได้เสมอขอแต่เพียงว่าต้องเปิดใจให้กว้าง รับฟังเสียงความคิด จากทุกคน... ไม่จำเป็นว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร

Thursday, May 11, 2006

.:":.0 Special diary trip's Mae Klong 0.:":.4




(
(ต่อจากครั้งที่แล้ว)
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2548
วันนี้พอพวกเราทุกคนแปรงฟันกันเสร็เรียบร้อยแล้ว ก็รีบไปตักบาตรที่ท่าน้ำหลังบ้านของหมิงซึ่งจะมีพระมารับบาตร ซึ่งก็มี 2 รูป และยังได้รู้จักพี่ข้างบ้านของหมิงด้วย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ใส่บาตรพระบนเรือ รู้สึกมีความสุขมาก เมื่อตักบาตรพระเสร็จแล้ว เรามีโปรแกรมที่จะไปดอนหอยหลอดกัน เราก็เลยไม่ได้อาบน้ำกันในตอนเช้า แต่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างเป็นบางคน เป็นชุดลุยๆ ที่พร้อมจะไปหยอดหอยหลอด เมื่อทุกคนปฏิบัติภารกิจของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ได้รับนมเปรี้ยวจากหมิงคนละกล่อง แล้วเราก็รอป้ำ*พ่อของหมิง แม่ทำไก่รวนเค็ม พร้อมข้าว 1 ชามใหญ่ไว้ให้พวกเราเผื่อหิว เราจะนั่งรถกระบะไปในครั้งนี้ มีกระป๋องที่จะเอาไว้ใส่หอยหลอดเรียบร้อย แล้วเราก็ออกรถไปกัน ตอนอยู่บนรถก็สนุกดีนะ มีหมาของหมิงตามไปด้วย 2 ตัว คือ จุด และ พลอย พันธุ์ดัลเมเชียน มันวิ่งตามรถของพวกเรามา ป้ำเลยต้องขับไปหยุดไปเพื่อรอหมา ก็สนุกไปอีกแบบนึง พอไปถึงเราก็ไปไหว้กรมหลวงชุมพร บิดาของการทหารเรือไทย เมื่อไหว้ขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรากับเอ็มก็ออกไปรอเพื่อนๆข้างนอกซึ่งมีแบบจำลองของปืนใหญ่อยู่ เอ็มก็อธิบายให้ฟังด้วยนะ หลังจากนั้นเราก็ไปเจอกับป้ำที่ตรงจุดที่ไว้ชมดอนหอยหลอด พ่อก็อธิบายความเป็นไปและจุดต่างๆ แต่น้ำยังไม่ลงเราจึงยังไม่สามารถลงไปหยอดหอยหลอดได้ และเราก็ได้ถ่ายรูปด้วยกันในบริเวณนั้นด้วย แล้วพ่อก็เรียกให้พวกเราไปนั่งที่ม้าหินแล้วพ่อจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับจังหวัดสมุทรสงครามให้ฟัง ป้ำเป็นผู้ที่เก่งและมีความรอบรู้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ในระหว่างที่ป้ำกำลังเล่าเรื่องราวอยู่นั้น ยางรัดผมของเราก็เกิดขาดขึ้นมาพอดี ป้ำก็เลยเก็บยางหนังสติ๊กที่ใช้รัดของแถวนั้นมาให้ เราก็เลยจำเป็นต้องมัด พอคุยไปได้สักพัก ป้ำคงคิดว่าอีกนานกว่าน้ำจะลงหมด ก็เลยชวนพวกเราไปดูลิงกัน พวกเราก็เลยตกลงใจไปดูลิงก่อนที่จะมาหยอดหอยหลอด สถานที่ที่พวกเราไปถึงเป็นป่าไม้โกงกางซึ่งสามารถขับรถเข้าไปข้างในได้ และบนต้นไม้นี่แหละที่มีลิงเกาะอยู่ เป็นโชคดีของเราที่มีจุดกับพลอยไปด้วย ไม่อย่างนั้นลิงพวกนี้จะมาทำร้ายเราได้ ป้ำได้ขับรถเข้าไปถึงด้านในสุด ซึ่งมีป่าชายเลนอยู่ด้วย หมิงแล้วก็พวกเราทุกคนได้เดินตามสันปูน เพื่อไปดูป่าชายเลนซึ่งเราได้เห็นปลาตีนตัวจริงแล้วด้วย น่ารักมากๆเลย หมิงกับน้องไกด์นั้นรีบลงไปเล่นโคลนในป่าชายเลนอย่างสนุกสนาน โดยส้มนึกสนุกก็เลยลงไปเล่นด้วยอีกคน เราก็ดูพวกเพื่อนๆเล่นอยู่ที่บันไดทางลง ที่มีอยู่แค่ไม่กี่ขั้นแล้วก็มีเปลือกหอยนางรมติดอยู่เต็มเลย สามารถบาดเท้าได้ด้วย ลื่นอีกต่างหาก แต่เราก็ยังยืนได้เพราะเท้ายังไม่เปื้อนโคลน เราคิดว่าเอ็มวึ่งเป็นคนรักสะอาดมากคงไม่ลงไปหรอก เพราะเราก็ไม่คิดจะลงเหมือนกัน ก็กลัวอะไรที่อยู่ข้างล่างโคลนนั่นแหละ เช่นเปลือกหอยที่สามารถทิ่มเท้าได้ก็เลยไม่ลง แต่แล้วเอ็มก็นึกสนุกขึ้นมาจนได้ เอ็มก็เลยจะลง โดยเอ็มชวนเราด้วยนะ เราก็เลยตัดสินใจลงก็ลงทั้งๆที่ยังกลัวอยู่ เอ็มลงไปก่อนทีละขา จนครบสองขาแล้วก็ส่งมือให้เราจับด้วย แต่เราลงไปได้แค่ขาเดียว เราก็รีบชักขากลับขึ้นมา เพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ข้างล่างและสามารถทิ่มเราได้เนี่ย มีเยอะมากเราก็เลยกลัวและบอกเอ็มว่าให้ไปเถอะเรากลัว แล้วขาที่เปื้อนโคลนข้างนึงของเราก็ทำเอาเราลื่นอยู่บนบันไดแทบตายแน่ะ
(<<<---อ่านต่อครั้งหน้า)

Monday, May 08, 2006

Chocolate






ความจริงของช็อกโกแลตที่คุณอาจไม่รู้
เมื่อถึงเทศกาลวาเลนไทน์ ของที่ขายดีนอกจากดอกกุหลาบก็คือ ช็อกโกแลต คนส่วนใหญ่ชอบกินช็อกโกแลต แล้วจะไม่ลองทำความรู้จักอาหารสุดโปรดชิ้นนี้กันหน่อยหรือ
ช็อกโกแลตทำมาจากเมล็ดพืชเขตร้อนที่ชื่อว่า คาเคา (cacao) คาเคามาจากคำว่า cacahuatl เป็นชื่อที่ชาวอินเดียนแดงเผ่าแอซเท็กใช้เรียกพืชชนิดนี้ แต่พ่อค้าชาวอังกฤษ ที่เข้าไปซื้อเมล็ดคาเคาในยุคแรกๆสะกดคำผิดจาก cacao เป็น cacoa ซึ่งออกเสียงว่า โกโก้ ชื่อวัตถุดิบที่นำมาผลิตช็อกโกแลตจึงเพี้ยนเป็นโกโก้นับแต่นั้น
จะเป็นสิวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนและความสะอาดของแต่ละคน คนที่ไม่เป็นสิวอยู่แล้วถึงกินช็อกโกแลตเข้าไปก็จะไม่เป็น แต่คนที่เป็นสิวมากๆต้องเลี่ยงเพราะช็อกโกแลตอุดมไปด้วยไขมันหากต่อมไขมันขับไขมันออกมาไม่ทันก็จะเกิดการอุดตันและเป็นสิว
ช็อกโกแลตทำให้ฟันผุเพราะมีน้ำตาลมาก และทำให้อ้วนแน่นอน แต่เครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนมีไขมันน้อยกว่าช็อกโกแลตแท่งถึง 50%
องค์การนาซาทุ่มงบในการวิจัยและพบว่า ช็อกโกแลตเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและมีวิตามินหลายชนิด นักบินอวกาศจึงกินช็อกโกแลต เพราะกินง่ายและไม่มีกากใย (จะได้ไม่ต้องขับถ่ายกันบ่อยๆ)
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษพบว่า นักเรียนหญิงในชั้นมัธยมมักขาดธาตุเหล็ก ทำให้สมองมีประสิทธิภาพลดลง วิธีแก้คือ กินอาหารที่ให้ธาตุเหล็กมากๆ เช่น ข้าวซ้อมมือ ตับ ผักใบเขียว และช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตมีคาเฟอีนเล็กน้อย ทำให้กระปรี้กระเปร่าโดยไม่เป็นอันตราย และมีเฟนนีลิทีลามีน (phenylethylamine) ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น คนที่ความดันต่ำหน้ามืดบ่อยๆ จึงทิ้งยาและหันมาคว้าช็อกโกแลตได้
ในวันวาเลนไทน์ สาวญี่ปุ่นนิยมให้ช็อกโกแลตแก่แฟนมากกว่าสาวชาติอื่นๆ
รูปทรงสามเหลี่ยมของช็อกโกแลตทอเบลอโรน (Toblerone) หมายถึง ภูเขาแมตเตอร์ฮอร์น (Matterhorn) ในสวิตเซอร์แลนด์
ในเยอรมันนีมีพิพิธภันฑ์ช็อกโกแลตที่เมืองโคโลญ เมื่อจ่ายเงินค่าผ่านประตู เราจะได้ช็อกโกแลตหนึ่งชิ้นแทนตั๋ว
ค.ศ.1000 อินเดียนแดงเผ่ามายา ใช้เมล็ดคาเคาหรือเมล็ดโกโก้แทนเงิน (เหมือนคนไทยในอดีตใช้เปลือกหอย)
รถไฟที่แล่นจากอังกฤษไปพื้นที่ห่างไกลในสก็อตแลนด์จะมีช็อกโกแลตเก็บไว้ในหีบฉุกเฉิน เผื่อในกรณีหิมะตกหนักจนเดินทางไม่ได้ ทุกคนจะได้ไม่อดตาย

Wednesday, May 03, 2006

*:*A Strong Woman(or Man)*:*



A strong woman works out every day to keep her body in shape.
But a woman of strength kneels in prayer to keep her soul in shape.

A strong woman isn't afraid of anything.
But a woman of strength shows courage in the midst of her fear.

A strong woman won't let anyone get the best of her.
But a woman of strength gives the best of her to everyone.

A strong woman walks sure footedly.
But a woman of strength knows God will catch her when she falls.

A strong woman wears the look of confidence on her face.
But a woman of strength wears grace.

A strong woman has faith that she is strong enough for the journey.
But a woman of strength has faith that it is in the journey that she will become strong.